Archive for กันยายน, 2006

สภาวะของสื่อต่างๆในประเทศไทย(เท่าที่ผู้เขียนรู้)

กันยายน 25, 2006

newspaper.jpg
ชือเรื่องนี้ที่จริงตั้งมาแล้วอาจจะดูจริงจังยังไงไม่รู้ อันนี้ก็ไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากนะครับ อาจจะออกแนวประเภท”บ่นไปเรื่อย”แบบของคุณ Iteau นะครับ

…เช้าวันต่อมาหลังจากวันที่มีการปฏิวัติ ผมอยากจะซื้อหนังสือพิมพ์มติชนมากเนื่องจากเป็นแฟนประจำของหนังสือเล่มนี้ และก็ด้วยเห็นตัวหน้าปกจากในทีวีซึ่งมีสีสันที่แปลกออกไปจากวันปกติทั่วๆไป แต่ก็ปรากฏว่าเมื่อหาซื้อต้ามร้านต่างๆก็หมดไปซะก่อนแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ได้อยู่สามสี่วันจนมากระทั่งวันนี้ถึงหาซื้อได้ตามปกติ(แต่ก็หากันแทบผลิกซอยทั้งซอยได้)

แต่ถ้าจะว่าไปแล้วตามปกติหนังสือพิมพ์เล่มนี้ก็หายากอยู่แล้ว คือแต่ละร้านสั่งมาวางขายกันไม่กี่เล่มแถมบางวันก็ยังไม่มีการส่งมาอีก จนมีเหตุปฏิวัตินี้อีกจึงเกิดอุปสงค์มากกว่าอุปทานอย่างรุนแรง

ที่นี้ข้ามมาที่ ONOPEN.COM ซึ่งเป็นเวบแนวการเมืองและสังคมรวมไปถึงศิลปวัฒนธรรม ก็ปรากฏว่าไม่มีการอัพเดทหรือแสดงจุดยืนใดๆทั้งสิ้นหลังจากเกิดเหตุปฏิวัติ ซึ่งตัวผมเองติดตามเข้าไปดูตลอดเพราะอยากจะทราบถึงแนวทางหรือไอเดียที่เวบนี้จะเสนอให้กับสังคมในสถานการณ์ขณะนี้

ส่วนทาง PRACHATAI.COM ซึ่งเป็นเวบแนวการเมืองและสังคมที่แสดงจุดยืนที่ต่อต้านการรัฐประหารครั้งนี้ได้อย่างเฉียบขาดและฉับพลันที่สุด ได้ทำการตั้งบล็อกสำรองไว้ที่ prachatai.wordpress.com เป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อสำรองไว้ในกรณีเว็บหลักถูกปิด ล่าสุดเว็บบอร์ดของเขาก็เริ่มโดนก่อกวนแล้วครับเนื่องจากมีการโพสต์ข้อความซ้ำๆกันขึ้น ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเรื่องสั่งปิดบล็อกด้วยแล้วจะลามมาปิดพวกเราที่อยู่ที่นี้ด้วยหรือป่าว

ยังไงก็ตามผมขอสนับสนุนการแสดงความคิดเห็นที่เสรีและถูกต้องเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และตามชื่อของ”คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”ครับ

วิจารณ์อย่างระวัง

กันยายน 21, 2006

จาก mccullagh.org

นี้อาจจะเป็นชื่อเรื่องที่น่าจะใสซื่อและตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่ผมเขียนมา ตอนแรกผมกะว่าจะเขียนเสนอแนวคิดทั้งสนับสนุนทั้งค้านเหตุที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน แต่พอเมื่อเช้าได้ยินว่ามีคำสั่งออกมาให้สามารถตรวจสอบสื่อต่างๆได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผมเกิดอาการหนาวๆอยู่เหมือนกัน

และถึงแม้ว่าจะเป็นอินเตอร์เนต ก็ยังสามารถตรวจสอบIPได้ โดยที่เจ้าIPนี้จะสามารถบ่งบอกลงไปได้ถึงถนนซอยและเลขที่ที่คุณอยู่ได้เลยที่เดียว เพราะฉะนั้นยิ่งตัวผมเองอยู่เมืองไทยและก็เป็นแค่นักศึกษาที่ไม่ได้มีเส้นสายมากจึงไม่กล้าที่จะวิจารณ์อะไรรุนแรง

ปฏิวัติครั้งนี้ดีหรือไม่ ..ในตอนนี้..(ซึ่งทุกอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว)คำตอบใช่ว่าจะอยู่ที่ตัวมันเองอย่างเดียวหากแต่อยู่ที่ผลของมันด้วย ถ้าหากการกระทำครั้งนี้สามารถนำไปสู่การล้มระบอบทักษิณได้จริง ก็นับได้ว่าเป็นการปฏิวัติที่คุุ้้มค่าและอาจนำไปสู่ประชาธิปไตย”เสรี”

บางคนอาจจะงงว่า ผมเขียนอะไรของผมเนี่ยระบอบทักษิณต้องตายไปแล้วมิใช่หรือ ตัวทักษิณก็ออกไปแล้วนิ …ที่หลายๆคนไม่รู้ก็คือระบอบทักษิณมีมาก่อนตัวคุณทักษิณเองซะอีก แต่เผอิญว่ามีคนไปตั้งชื่อไอเจ้าตัวระบอบว่า “ทักษิณ”ซะงั้น โดยที่ความหมายของระบอบทักษิณเท่าที่ผมรวบรวมได้ก็คือ เป็นระบอบที่คิดว่าประชาธิปไตยจบลงที่การเลือกตั้งเท่านั้น และเป็นระบอบที่สนใจในเสียงข้างมากละทิ้งเสียงส่วนน้อย

ระบอบนี้สามารถสังเกตเห็นได้ดีจากเมื่อถึงฤดูกาลเลือกตั้ง บรรดาเหล่าผู้ลงสมัครทั้งหลายก็จะเกิดถ่อมเนื้อถ่อมตัว พบปะชาวบ้านถามสาระทุกข์สุกดิบ แต่พอเมื่อตนได้รับเลือกก็จะบังเิกิดอาการเหาะเหินเดินอากาศ สูงส่งกว่าคนทั่วไปราวกับว่าเป็นเทวดา เหล่าชาวบ้านร้องทุกข์อะไรก็ไม่มีการตอบสนองกลับ พอนักข่าวถามถึงเรื่องการบริหารงานก็อาจจะตอบว่า “ผมยังไม่ได้รับรายงาน” หรือ “วันนี้ดาวพุธโคจร”

ดังนั้นโดยตัวของระบอบนี้จึงนับได้ว่าเก่าแก่มาก และถือได้ว่าเป็นตัวกัดกร่อนตัวหนึ่งของประชาธิปไตยในประเทศไทย ถ้าหากการปฏิวัติครั้งนี้สามารถล้มระบอบทักษิณได้จริงก็นับว่าสังคมไดัรับประโยชน์ แต่ที่น่ากังวลก็คือการกระทำครั้งนี้ได้ข้ามขั้นตอนที่สำคัญบางอย่างไป ซึ่งถ้าหากจะให้เกิดประชาธิปไตย “เสรี” ได้จริงนั้น หลังจากนี้ทุกภาคส่วนต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูปทั้งระบบ ประชาชนต้องไม่ละทิ้ง“สิทธิ”ของตนเอง(เน้นย้ำนะครับ)

มิเช่นนั้นในอนาคตพวกเราอาจเกิดอาการ”เดจาวู” รู้สึกว่าเอทำไมวันนี้มันเหมือนเคยเจอมาแล้ว เรามีรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับและอาจจะมีมากที่สุดในโลก พวกเราฉีกมันทึ้งแล้วทึ้งอีกเพราะคิดว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกฎหมาย โดยลืมคิดไปว่าต้นสายปลายเหตุอยู่ที่ตัวสังคมที่มันตั้งอยู่นั้นเอง

ปล. คณะปฏิรูปต้องไม่หลงในอำนาจด้วย

โดนปฏิวัติแล้ว!!!

กันยายน 19, 2006

จาก cnn

เมื่อตอนสี่ทุ่มมีการประกาศภาวะฉุกเฉินโดยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ด้วยน้ำเสียงที่ติดขัดและสั่นเครืือ และตอนนี้ก็โดนปฏิวัติแล้วโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ข่าวที่น่าจะอัพเดทเร็วสุดอยู่ที่ http://w3.manager.co.th/ คงต้องติดตามกันต่อไปนะครับ

-เพิ่มเติมตอนเช้าวันที่20เวลา10:26มีบล็อกที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ดัีงนี้ revolution.blogrevo.com,19sep.blogspot.com,gnarlykitty.blogspot.com

สาเหตุของปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้(1)

กันยายน 16, 2006

จาก เวบสถาบันข่าว�ิศรา

หัวข้อที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ แน่นอนเป็นประเด็นปัญหาที่ถือได้ว่ายากแก่การเข้าใจอย่างยิ่ง แม้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้อุบัติมาเป็นเวลานานแล้ว มีผู้คนล้มตายและได้รับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก แต่ภาครัฐก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ประชาชนอย่างพวกเราก็ได้รับข่าวสารการฆ่ากันเป็นรายวัน แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนทางรัฐจะปล่อยข่าวความคืบหน้าในทางที่ดี ซึ่งนับได้ว่านอกจากความสับสนกันเองในพื้นที่แล้ว ความสับสนของพวกเราๆท่านๆก็มีกันอยู่พอสมควรอยู่เหมือนกัน

เนื่องจากผมก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจในปัญหานี้ แต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงมาก่อน จึงจะลองทำการรวบรวมสิ่งที่นักวิจัยและนักวิชาการได้ค้นพบจากในพื้นทีมาไว้ในบล็อกนี้ครับ ซึ่งแต่ละคนก็จะค้นพบในแง่มุมและประเด็นที่ต่างกัน และกว่าจะมีการค้นพบนั้นก็ใช้เวลาพอสมควร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมเขียนต่อไปนี้จะมีลักษณะเป็นตอนๆไปครับ

สำหรับในครั้งแรกนี้จะอธิบายถึงเรื่องช่องว่างระหว่างวัยซึ่งนับว่าสำหรับบุคคลภายนอกอย่างพวกเรายากที่จะตระหนักรู้ ทั้งนี้ในงานวิจัยบางชิ้นได้สรุปออกมาว่าสังคมมุสลิมในบริเวณนั้น มีลักษณะชีวิตความเป็นอยู่ที่พอเพียง รักสงบ รักถิ่นกำเนิด และไม่คิดที่จะแบ่งแยกดินแดน

คำถามก็คือแล้วทำไมถึงเกิดปัญหาเช่นในปัจจุบันได้ คำตอบก็คือคนส่วนหนึ่งทั้งเด็กและวัยรุ่นที่โตแล้วเป็นคนนอกพื้นที่ ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงขาดความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงด้านความคิดและแนวความเชื่อจากชนรุ่นเก่าท้องถิ่น และนอกจากนี้ก็ยังมีการสอนศาสนาแบบใหม่ที่จะมีพิธีให้ดื่มน้ำสาบานที่มีสีแปลกออกไป ซึ่งจากการแพร่ระบาดของยาเสพติดจึงคาดได้ว่าอาจมียาประเภทกล่อมประสาทในน้ำสาบานนั้น

และโดยปกติแล้ววัยรุ่นในพื้นที่ชอบที่จะไปพบกันที่ร้านน้ำชากันตอนเย็นๆค่ำๆ และพวกพ่อแม่เองก็ไม่ค่อยจะรู้ด้วยว่าลูกๆตนเองไปทำอะไรเพราะเชื่อกันว่าร้านน้ำชาเป็นแบบร้านน้ำชาเมื่อสมัยก่อน จึงทำใ้ห้เิกิดความห่างเหินกันระหว่างคนสองวัยขึ้นอีก

นอกจากปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัยแล้ว ยังปัญหาเรื่องของชนชั้นอีกด้วยกล่าวคือในสังคมมุสลิมของคนพื้นที่สามจังหวดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลที่ถือกันว่าเป็นชนชั้นสูง ซึ่งอาจจะเป็นชนชั้นสูงด้านความร่ำรวยหรืออาจจะด้านความรู้ด้านศาสนาไม่เกี่ยวกับฐานะด้านเศรษฐกิจแต่อย่างใด ต่อจากนั้นเป็นกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งรู้สึกว่าตนมีฐานะย่ำแย่กว่าชนชั้นกลางจีนหรือพุทธ ส่วนคนจนก็มีการศึกษาน้อยทำให้ไปทำงานนอกพื้นที่ไม่ได้

ดังนั้นจึงเกิดความเลื่อมล้ำในชุมชนมุสลิมขึ้น ซึ่งได้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นและต่อจากนั้นจึงทำให้เิกิดผลสั่นคลอนต่อความเชื่อและประเพณีที่เคยมีมา

จึงกล่าวได้ว่านอกจากสังคมภายนอกที่รายล้อมเป็นสาเหตุของปัญหาแล้ว ปัญหาและความขัดแย้งภายในสังคมมุสลิมเองก็ก่อยังให้เิกิดผลด้วย ซึ่งถ้าหากว่าทางรัฐยังยุ่งอยู่กับแต่เรื่องการเมืองส่วนกลาง ยังไม่เข้าใจยังไม่ประสานงานยังทำเป็นหูทวนลม ปัญหานี้ก็คงมิอาจจบเสียได้

– สรุปจาก “ไฟใต้ฤาจะดับ” โดย ศรีศักร วัลลิโภดม มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ใน นสพ.มติชน วันที่ 28 สิงหาคม 2549

powered by performancing firefox

มะเฟืองหน้าบ้านกับจันทรุปราคา

กันยายน 9, 2006

เมื่อวานซืนนี้หลังจากที่ไปถ่ายรูปกำแพงสีขาวหลังหมู่บ้านที่มีต้นตีนตุ๊กแกขึ้นมาทำเป็นโลโก้แล้ว ผมก็ได้เก็บภาพของต้นมะเฟืองหรือ star fruit ที่อยู่หน้าบ้านผมมาฝาก ซึ่งหลายๆคนคงยังไม่เคยเห็นกันแน่ๆ

ในรูปนี้มีดอกให้เห็นแค่ช่อ(ผมใช้ถูกหรือป่าวเนี่ย”ช่อ”เพราะมันดูเป็นแพๆยังไงไม่รู้)เดียวเท่านั้น แต่ความจิงยังมีอีกนับได้รวมกันคงมีอยู่ราวๆห้าสิบดอก เห็นออกผลได้มากขนาดนี้ แต่ต้นเขาความสูงแค่เมตรเจ็บสิบเท่านั้นก็ออกดอกกันนับเป็นสิบ ไม่รู้ว่าพอสุกได้ที่พร้อมแล้วจะกินกันทันหรือเปล่า โชคดีที่ยังมีเพื่อนบ้านที่จะยังพอแบ่งเบาภาระอันหนักนี้ได้

แต่ทว่าผลลูกแรกที่สุกได้ที่ก่อนหน้านี้ เมื่อนำมากินก็ปรากฏว่าออกรสเปรี้ยวอย่างเดียวขาดรสหวาน ท่าทางงานหน้านี้ผลผลิตหน้าบ้านของผมคงจะไม่ได้เรื่องซะแล้ว

…เลยเข้าช่วงตีหนึ่งหลังจากที่รอคอยดูจันทรุปราคา ก็เลยออกไปดูที่ระเบียงห้องนอนของตัวเอง ปรากฏว่าดวงจันทร์ก็เลยเข้าหลังคาบ้านไปซะแล้ว ถ้าจะเห็นก็ต้องลงไปดูกันกลางถนนถึงจะได้รูปข้างล่างนี้มา