มีอยู่วิชาหนึ่งที่ผมเพิ่งไปเรียนมา เขาี้พูดถึงเรื่องการสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เนต โดยอาจารย์ฝรั่งชาวออสเตรเลียได้ยกตัวอย่างของสาวไทยคนหนึ่งที่กำลังเตรียมทำรายงานหรือวิทยานิพนธ์อะไรสักอย่าง โดยอาจารย์เขาบอกว่าหนึ่งในทีมงานที่เธอร่วมทำงานด้วย ได้ส่งอีเมล์ติชมงานของเธอไปผ่านไปยังทุกคนในกลุ่ม หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยแสดงความคิดเห็นต่องานกลุ่มเลยเพราะรู้สึกหน้าแตกต่อการวิจารณ์ความเห็นของเธอผ่านฟอร์เวิร์ดเมล์ในครั้งนั้น ด้วยความที่มักจะไม่มีการนัดประชุมให้เห็นหน้าเห็นเสียงกันเป็นๆ ความเข้าใจผิดจึงไม่ได้รับการคลี่คลายจนกระทั่งสมาชิกในทีมของเธอเริ่มสังเกตเห็นว่าเธอไม่ทุ่มเทลงไปในงานเท่าที่ควร มีการร้องเรียนไปยังอาจารย์ขอให้เข้ามาช่วย ความก็ออกมาคืออีกฝ่ายหนึ่งที่วิจารณ์ความคิดของเธอคิดว่าข้อความในจดหมายไม่ได้เป็นการด่าหรือทำให้เธอหน้าแตกอย่างใด
อาจารย์ได้วิเคราะห์ออกมาว่า ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นนานจนกลายเป็นปัญหา เป็นเพราะว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงกันบ่อยครั้ง คือแทบไม่ได้เจอตัวเป็นๆเลย การสื่อสารส่วนใหญ่จะทำกันผ่านทางอีเมล์เป็นหลัก ซึ่งทำให้เกิดการตีความที่หลากหลายได้ ตรงข้ามกับการสื่อสารที่เจอกันตัวต่อตัว เราได้เห็นสีหน้าในขณะนั้น รู้สึกถึงความสูงต่ำของน้ำเสียง ซึงนำมาประมวลผลต่อว่าเขากำลังต้องการสื่อความหมายอะไรให้กับเรา แม้กระทั่งไม่มีการพูดคุยเกิดขึ้นลักษณะท่าทางและสีหน้าก็สื่อความหมายได้มากแล้ว
กับชีวิตในโลกบล็อกนี้ ผมก็เคยเจอปัญหาในทำนองเดียวกัน คือแค่เราเสนอความคิดอะไรนิดหน่อยที่อาจจะขัดแย้งบ้าง ก็มักจะถูกตีความเสมอว่าหัวดื้อ ไม่ก็เป็นการดูถูกหักหน้าอะไรทำนองนี้ ทั้งที่ตอนที่ผมพิมพ์นี้ ผมแทบไม่รู้สึกถึงความโกรธความต้องการเอาชนะคนอื่นแต่อย่างใด เพียงต้องการแสดงความเห็นเท่านั้น ผมเองก็เคยแสดงความเห็นที่ผิดพลาดไปหลายที่เมียนกัน หลายที่ก็เป็นบล็อกดังซะด้วย แต่ยังไงถ้าความจริงแล้วผมผิดพลาด ผมก็ยอมรับผิดและพร้อมที่จะแก้ต่อไป กระนั้นความคิดเห็นที่แย้งกันบางครั้งใช่ว่าจะมีถูกผิด ถึงจุดนั้นทุกฝ่ายต่างต้องยอมรับในจุดยืนที่แตกต่าง
กับในบล็อกที่ผมมีอยู่นี้ ก็เคยมีบ้างที่เขาวิจารณ์มาให้แก้ตรงนี้ๆแล้วผมก็ยอมรับว่ามันผิดพลาดกันจิง อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกนะครับ จะวิจารณ์จะติอะไรก็ยินดีอย่างยิ่งนะครับ เพราะผมเองก็อยากรู้ด้วยว่าควรจะปรับปรุงตรงไหนบ้างและหลายครั้งเองคนที่มาวิจารณ์ก็ได้ความรู้ได้ประสบการณ์(ดีบ้างไม่ดีบ้าง แหะๆล้อเล่นครับ)กลับไปเอง
อย่างที่นิตยสารTimesได้ยกให้พวกเราทุกคนเป็นบุคคลแห่งปี2006 เพราะเนื่องจากพวกเรารับหน้าที่เป็นสื่อด้วยตนเอง ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมไม่ว่าจะด้านแฟชั่น,ข่าว,การเมืองและแนวคิดในรูปแบบใหม่ๆ สังคมบล็อกในปัจจุบันเป็นสังคมที่จะช่วยเพาะปลูกวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ที่ดีได้ ถึงแม้จะถูกตั้งคำถามถึงเรื่องความเที่ยงตรงและเป็นกลางในข้อมูล แต่สื่อสิ่งพิมพ์เองก็ถูกตั้งคำถามกลับถึงเรื่องความเป็นกลางอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าในประเทศต่างประเทศ ก็เกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเข้าข้างรัฐบาลหรือเข้าข้างกับกลุ่มต้านรัฐบาลมากจนเลอะเทอะ ซึ่งวิธีการครอบงำมีตั้งแต่การใช้กำลัง,การตัดงบโฆษณาหรือวิธีการอื่นที่ผมเองก็ไม่รู้
แต่กว่าสังคมไทยจะก้าวไปสู่สังคมแห่งความรู้ได้ ยังมีสิ่งสำคัญที่่เป็นปราการป้องกันการพัฒนา วัฒนธรรมไทยที่กลัวการหน้าแตกกลัวความผิดพลาด เป็นกำแพงที่สำคัญอีกอันหนึ่งในสังคมไทยนอกจากวัฒนธรรมอุปถัมภ์ หลายครั้งด้วยกันความผิดพลาดเกิดขึ้นเพราะการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง ตรงนี้อาจารย์คนเดิมได้พูดถึงงานวิจัยอันหนึ่งที่ลูกศิษย์กำลังทำอยู่ ได้ศึกษาถึงเรื่องความสัมพันธ์ของจำนวนครั้งของเครื่องบินตกเทียบกับคะแนนpower distance(คะแนนความยอมรับในเรื่องของอำนาจ)ในประเทศที่สายการการบินนั้นตั้ง พบว่ายิ่งประเทศไหนมีคะแนนสูง(ยอมต่ออำนาจ)ก็จะพบว่าจำนวนครั้งที่เครื่องบินตกเพิ่มสูงขึ้น อธิบายได้ว่าช่างตรวจสภาพเครื่องบินถ้าเกิดพบข้อบกพร่องบนตัวเครื่องมักจะไม่กล้าแจ้งต่อพนักงานระดับสูงขึ้นไป อย่างไรก็ตามดัชนีตัวนี้ของไทยเราอยู่ค่อนข้างกลางๆซึ่งอาจารย์อีกท่านหนึ่งก็บอกว่ายังมีข้อสงสัยถึงความเที่ยงตรงของคะแนนนี้อยู่ (สนใจดูเรื่องpower distanceและดัชนีอื่นดูได้ที่ www.geert-hofstede.com)
วัฒนธรรมไทยที่กล่าวมานี้ ลึกๆแล้วอาจเป็นคำตอบด้วยซ้ำไปว่าทำไมประเทศของเราจึงย้ำอยู่กับที่เป็นสิริเวลารวมร้อยปีได้กระมัง ถึงเวลาแล้วที่สังคมบล็อก… จะร่วมทลายกำแพงนี้
powered by performancing firefox